วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

การมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งต่างๆ ย่อมดีกว่าการทำไปตามความสามารถธรรมดา เพราะถ้าหากที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย ย่อมมีผลออกมาดีกว่าการทำตามหน้าที่ ทำอย่างไรเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ ฝึกได้ครับ ฝึกได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

9 วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

1.ดื่มน้ำให้บ่อยๆ โดยอาจจะใช้วิธีการจิบครั้งละนิดๆก็ได้ เพราะในสมองของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 % ของเซลล์สมอง ดังนั้นถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ก็จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่างๆ ช้าหรือคิดไม่ออกเลย

2.กินไขมันดีหรือโอเมก้า 3 สมองน้อยๆ ของเรานั้นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเข้าไปเพื่อเป็นการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีอยู่นั้น ก็เช่น ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เป็นต้น

3.นั่งสมาธิ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเกิดสติในการคิดสิ่งต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนั้นในแต่ละวันเราควรที่จะหาเวลานั่งสมาธิบ้าง แม้จะเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเราสามารถนั่งสมาธิได้

4.ตั้งใจทำจริงๆ เพราะถ้าตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็ควรที่จะตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ เพราะการตั้งใจทำถือว่าเป็นฝึกสมองอีกรูุปแบบหนึ่ง

5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะเวลาที่เราทำ 2 สิ่งนี้ สารเอ็นโดรฟินก็จะถูกหลั่งออกมา สารนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คิดและทำสิ่งดีๆ ออกมา

6.เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวในร้านอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือเล่มใหม่ ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้สารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา สารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังจะทำให้มีความสุขอีกด้วย

7.ให้อภัย เพราะถ้าเรารู้สึกโมโห โกรธ สมองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย ดังนั้นเราควรที่จะรู้จักให้อภัยคนอื่น และให้อภัยตัวเองเพื่อสมองน้อยๆ ของเรา

8.เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เราเจอมาในแต่ละวันลงไปในไดอารี่ เช่น วันนี้ได้เจอเพื่อนใหม่ , ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เป็นต้น เพราะการเขียนสิ่งดีๆ จะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย และยังเป็นการช่วยฝึกฝนสมองให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอีกด้วย

9.ฝึกหายใจเข้าลึกๆ เพราะสมองน้อยๆ ของเรานั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วย ดังนั้นถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ ก็จะเป็นช่วยการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะสามารถทำให้ให้ปอดขยายใหญ่และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20%

วิธีฝึกสมองทั้ง 9 ข้อที่สามารถนำไปปฏิบัติและทำได้ทุกวัน ทำเพียงแค่วันละนิดก็ช่วยทำให้สมองน้อยๆ ของเราคิดและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Zybernia.wordpress.com

ดูอย่างไรว่าเขารักเราจริงหรือเปล่า

20 เคล็ดลับล่วงรู้ว่า เขารักเราจริงหรือเปล่า

ขอเตือนไว้ก่อนนะครับ ว่าอย่ายึดติดกับสิ่งที่ได้อ่านนี้เสมอ เพราะในเมื่อคุณมาเจอข้อความนี้ ผู้ชายหรือแฟนของคุณก็อาจจะเจอเช่นเดียวกัน ฉะนั้นอย่าปักใจว่า ถ้าหากคนที่ทำตามข้อมูลเหล่านี้จะเป็นคนรักจริงของเรา เพราะเขาออาจจะแกล้งทำเพราะรู้ว่าวิธีเหล่านี้ใช้ได้ผล แต่สิ่งที่สามารถจะพิสูจน์ได้ก็คือ เวลาที่อยู่ด้วยกันเท่านั้น ที่สำคัญอย่ารีบมีอะไรกับใครง่ายๆ เพราะถ้าอะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็ย่อมไม่มีคุณค่าพอที่จะถนอมรักษามันไว้ ผุ้ชายเขาคิดเช่นนี้

1. เขาโทรหาคุณทุกๆ วันเลย เพื่อเล่าเรื่องต่างๆ ของเขาให้คุณฟัง

2. เขาหัวเราะให้กับมุขตลกของคุณเสมอ ไม่ว่าจะ "ขำ" หรือฝืด"

3. เขาบอกคุณอย่างจริงใจว่า เขาคิดถึงคุณจังเลย

4. เขานวดหลังให้คุณ โดยที่ไม่ขอให้คุณนวดให้เขาเป็นการตอบแทน

5. เขาโทรหาคุณบางช่วงของวัน เพราะเขาแค่ต้องการพูดว่า "คิดถึง คุณจัง"

6. เขามาหาคุณ และอยู่ข้างๆ คุณเวลาที่คุณไม่สบาย

7. เขามีข้อความพิเศษๆ แบบอ่านแล้วยิ้มแก้มปริให้กับคุณ

8. เขาชวนคุณเต้นรำในเพลงช้า!!!

9. เขามีของขวัญพิเศษให้คุณเสมอ แบบไม่ต้องรอวันพิเศษใดๆ

10. เขาจำวันพิเศษของคุณได้เสมอ!!!

11. เขาหอมแก้มคุณ เพราะอยากที่จะหอม ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นๆ

12. เขาพาคุณไปเดินเล่น ดูพระอาทิตย์ตกดิน หรือดูดาวกับคุณ

13. เขาเล่าความลับของเขาแบบที่มีแค่เขาเท่านั้นที่ ให้คุณฟัง

14. เขาบอกคุณอย่างจริงใจว่า คุณดูสวยเสมอสำหรับเขา

15. เขายอมดูละครน้ำเน่าเรื่องโปรดของคุณเป็นเพื่อน

16. เขาทำให้คุณประหลาดใจด้วยอาหารมื้อค่ำที่ทำให้คุณประทับใจ

17. เขาทำให้คุณรู้สึกประทับใจเสมอ

18. เขาบอกรักคุณ โดยไม่หวังว่าคุณจะตอบว่าอะไร

19. เขาแสดงให้คุณรู้สึกได้ว่า เขาไม่เคยลืมความสำคัญของคุณเลย

20. เขากอดคุณเต็มอ้อมแขนเวลาที่เขาอยากกอดคุณ โดยที่ไม่ต้องรอโอกาสพิเศษใดๆ

ที่มา http://variety.thaiza.com

ลดความอ้วนให้ได้ผลจริงๆ

ลดความอ้วนให้ได้ผลจริงๆ

คงจะมีเพื่อนๆหลายคนที่กำลังอยากลดความอ้วนอยู่ใช่ไหมล่ะ วันนี้ เรา เลยจะมาขอเล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักอย่างตรากตรำของเราให้เพื่อนฟัง

พูดถึงประวัติ ก่อนลดน้ำหนักก่อนนะ ก่อนจะลดเราน้ำหนัก 53 กก. สูง 163 ซม. ช่วงนั้น แขน ขา ใหญ่ อย่างรับไม่ได้เลย

ปัจจัยส่วนใหญ่ของน้ำหนักคราวนั้นคือ กินเค้ก กินอาหารเยอะมาก หลายมื้อเรย ตอนดึกๆก็ยังออกไปกินนมกับเพื่อนอยู่เลย ถามเพื่อนๆว่าเราอ้วนไหม เพื่อนๆบอกว่าไม่หรอก แค่ดูตัวใหญ่ แต่พอพวกผู้ชายมาพูดเท่านั้นแหละ บอกว่าเรา อวบ เรายอมไม่ได้ เลยต้องเริ่มลดน้ำหนัก

เราเริ่มศึกษา อ่านหนังสือ ทุกเล่มที่ว่าเด้วยการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน รวมถึงเรื่องการล้างพิษด้วย เราจึงได้รวบรวมวิธีและหลักการการลดความอ้วนมาได้ดังนี้

** สิ่งที่ควรจำในการลดความอ้วน+สุขภาพดี**

1. การงดเว้น อาหารบางมื้อ อาจช่วยสามารถลดน้ำหนักได้ในช่วงแรกๆ แต่จะทำให้ระบบเผาผลาญ
เราช้าลง ดังนั้นควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ในประมาณที่พอเหมาะ

2. การนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรนอนระหว่าง 3ทุ่ม - ตี 3 และควรปิดไฟนอน เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับระบบภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 7 -8 แก้วเพื่อการขับถ่ายและเป็นการล้างพิษไปในตัว

4. การออกกำลังกายลดความอ้วนอย่างได้ผล คือ ออกกำลังกายติดต่อกันเป็นเป็นเวลา อย่างน้อย 20นาที และไม่เกิน 2 ชั่วโมง (คนปกตินะจ้ะ ไม่ใช่นักกีฬา )ในช่วงลดน้ำหนักควรออกกำลังกายอย่างน้อย อาทิตย์ละ 4 วัน

เวลาในการออกกำลังกาย ช่วยให้การเผาผลาญที่ต่างกันนะ

ช่วงเช้า ตั้งแต่ ตี5-9โมงกำลังดี เพราะแดดไม่ร้อน อีกทั้งยังทำให้ร่างกายตื่นตัว ช่วงนี้ร่างกายจะเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างได้ดีมากๆ

ช่วงเย็น ตั้งแต่ 4 โมงเย็น- 1 ทุ่ม เป็นช่วงที่ร่างกายจะเผาผลาณคาร์โบไฮเดรต ที่อาจจะเหลือและสะสมเป็นไขมันได้

ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ควรออกกำลังกายหนักๆ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 วัน

5. อาหารเย็น สำหรับคนลดน้ำหนัก ควรรับประทาน ก่อน 6 โมงเย็น ช้าสุด ไม่เกิน 2 ทุ่ม

ที่นี้เราจะมาพูดถึงวิธีลดความอ้วนของเราบ้างนะ เราใช้วิธีลดอาหารพวกแป้ง (หมอบอก)+คำนวณแคลอรี ช่วงที่เราลดเป็นช่วงปิดเทอม เลยไม่มีปัญหา

ช่วง 2 อาทิตย์แรก เราไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่กินอาหารจากแป้ง งดผลไม้นำตาลเยอะเช่น สัปปะรด มะละกอสุก มะม่วงสุก รับประทาน พวกฝรัง แอปเปิ้ลเขียว เนื้อสัตว์ทุกชนิดเรย ช่วงนั้น เราจะไม่ค่อย ไม่แรงเท่าไหร่ น้ำหนักลดลง ไป 3 กิโล (ช่วงนี้ต้องอดทนมากเรยๆ)

ช่วง 2 อาทิตย์หลัง กินข้าวบ้าง แต่ไม่มาก ประมาณมื้อละ 3-5 ช้อน ออกกำลังกายเกือบทุกวัน ส่วนใหญ่จะไปวิ่ง วันละ 3 รอบ รอบละ 800 เมตร

เวลาผ่านไป 1 เดือน เปิดเทอมพอดี

ตอนเช้า เราเปลี่ยนสูตร เป็น เช้า ขนมปังโฮลวีต ทา เบคบีน กับนมขาดมันเนย 1 กล่อง กลางวัน อะไรก็ได้ แต่ไม่มีคาร์โบไฮเดรค วุ้นเส้นก็กินไม่ได้นะ เย็น แอปเปิ้ลเขียว 1 ลูก วิ่ง วันละ 3 รอบ
สรุป ลดไปได้ 4 กิโล แต่ว่า สัดส่วนลดลง และกระชับอย่างเห็นได้ชัด

พยายามทำอย่างนั้นอีกเป็นเวลา 1 เดือน แต่กฏไม่เข้มเท่า กินขนมบ้าง น้ำหนัก คงที่

ที่มา
http://writer.dek-d.com/deksmart/story/view.php?id=153748

แก้ปัญหาหน้ามัน

แก้ปัญหา หน้ามัน

“ทำหน้าให้มัน มันๆ ดิ๊” ประโยคนี้จากในโฆษณา คงแทงใจดำคนหน้ามันไปหลายคนเชียว บางคนคงคิดอยู่ในใจว่า “ไม่ต้องทำอะไร หน้าชั้นก็มันอยู่แล้วอ่ะ” มาดูกันซิว่า สาวผิวมันเค้าต้องดูแลตัวเองยังไงกันบ้าง

เรื่องหน้ามัน เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์ ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ เช่น ขาหมู ไอศกรีม กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามัน คือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้ม


การดูแลผิวพรรณสำหรับผู้ที่มีหน้ามัน และรูขุมขนกว้างนั้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามสภาพผิว ซึ่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด อย่างแรก การทำความสะอาด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว และตามด้วยครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวมัน ซึ่งบางคนอาจคิดว่าสภาพผิวมันนั้นไม่ต้องใช้ครีมบำรุงผิว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครีมบำรุงผิวมีความสำคัญมากในการดูแลผิว และเปรียบเสมือนเสื้อคลุมปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คงความชุ่มชื่นให้ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น ตามด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด ต้องเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB สามารถป้องกันทั้งการเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ ที่เกิดจากรังสี UVB และป้องกันการเกิดริ้วรอย ที่เกิดจากรังสี UVA สำหรับผลิตภัณฑ์กันแดดสำหรับผิวมัน ควรเป็นลักษณะโลชั่น นอกเหนือจากการดูแลผิวทั่วไป การถนอมผิว แนะนำว่าไม่ให้รบกวนผิว หรือเช็ดถูผิวหน้าแรงๆ


การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน

หากคุณเป็นคนนึงที่มีผิวหน้ามันเป็นปัญหาหนึ่งของชีวิตที่น่ารำคาญใจ สิ่งสำคัญของสาวผิวมันนั้น อยู่ที่การทำความสะอาดใบหน้าให้สม่ำเสมอ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพิ่มความมันบนใบหน้าให้มีมากไปกว่าเดิม โดยควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

1. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าแบบอ่อนๆ หรือเจลใสไร้ฟอง เพื่อให้ผิวไม่เกิดการระคายเคือง สาวผิวมันบางคนอาจไม่คุ้นชินกับการล้างหน้าโดยใช้โฟมล้างหน้าแบบไม่มีฟอง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่ายังล้างหน้าไม่สะอาด จริงๆ แล้วเป็นความคิดที่ผิดนะคะ เพราะว่าการล้างหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฟองนั้น จะทำให้สารเคลือบผิวบนใบหน้า ถูกทำลายน้อยกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบที่มีฟองเยอะเลยล่ะค่ะ สำหรับผู้ที่อยากลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบไม่มีฟอง ขอแนะนำว่า ขณะกำลังล้างหน้าให้ใช้มือวนเป็นวงๆ เบาๆ ให้ทั่วใบหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนออก จากนั้นใช้สำลีเช็ดผลิตภัณฑ์ล้างหน้านั้นออกก่อนการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้คุณก็จะรู้สึกว่าการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์แบบไม่มีฟองนั้น ช่วยให้คุณรู้สึกว่าล้างหน้าสะอาดหมดจดได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงค่ะ

2. ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อเปิดรูขุมขนให้สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึก จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในน้ำสุดท้ายเพื่อกระชับรูขุมขน

3. ใช้โทนเนอร์ที่ช่วยควบคุมความมันและกระชับรูขุมขนหลังการล้างหน้า

4. จากนั้น ตามด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวสำหรับสาวผิวมันโดยเฉพาะ หรือใช้โลชั่นควบคุมความมันทาในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการแต่งหน้า ที่สำคัญ ทุกขั้นตอนที่กล่าวมาก็ควรปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะผิวหน้าจะสวยและมีสุขภาพดีได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวนั่นแหละค่ะ ว่าจะดูแลผิวหน้าของตัวเองได้ดีแค่ไหน เพราะใช่ว่าหน้ามันๆ จะทำให้ชีวิตต้องเศร้าหมองประคองอารมณ์เสมอไป อย่างน้อยสาวผิวมันอย่างเรา ก็เหี่ยวและเกิดริ้วรอยได้ช้ากว่าสาวผิวแห้ง

5. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

6. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ AHA BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น


สูตรไม่ลับ (เฉพาะ) แก้หน้ามันเยิ้ม

สาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องอาการหน้ามันทุก 5 นาที ควรดูหน้านี้โดยด่วน เพราะอาการหน้ามันเนี่ย เรื่องใหญ่แห่งชาติเลยนะคะ คุณขา เพราะว่าอาการสาวๆ หน้ามันเนี่ยมันทำให้หนุ่มที่เดินข้างๆ รู้สึกเสียอารมณ์สุดๆ ช่วยโบ๊ะหน่อยก็ดี แต่บางคนยิ่งโบ๊ะก็ยิ่งเยิ้ม ไปกันใหญ่เลย เอาเป็นว่าเรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันดีกว่า ด้วยวิธีแสนจะง่ายและปราศจากผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ

1. นำสตอเบอร์รี่ 2 ลูกล้างให้สะอาด แตงกวา 1 ลูกล้างให้สะอาด
2. นำมาใส่เครื่องปั่นผสมกันให้ละเอียด
3. แล้วนำมาพอกหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ประมาณ 20 นาที
4. เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ

แค่นี้ก็ช่วยได้แล้วจ้า เพราะจะช่วยกระชับรูขุขนให้ระเอียดขึ้นด้วย และอาจจะใช้สัปปะรด ฝานบางๆ แช่เย็นไว้ แล้วนำมาวางบนหน้า ซัก 10 นาทีต่อ ก็จะช่วยเรื่องหน้ามันได้อีกด้วยค่ะ ขอแนะนำว่าอาทิตย์นึงทำซักครั้งก็พอนะคะ รับรองว่านานผิวหน้าคุณๆ ก็จะสดใส เนียนนุ่ม และไม่มันได้แน่นอนค่ะ


ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topic/แก้ปัญหา_หน้ามัน/

สิว สิว สิว ทำอย่างไรให้หายเป็นสิว...ผมมีวิธี

ไม่ว่าใครต่อใคร ก็มักจะมีปัญหาเรื่อง สิว ตอนที่ไม่เป็นก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ พอเป็นแล้วก็วุ่นวายกันใหญ่ เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะตอนที่ไม่เป็นมันก็ไม่ใช่ปัญหาน่ะสิ พอได้เป็นขึ้นมาก็ค้นหากการรักษากันยกใหญ่ วิธีที่หลายคนต้องการมากที่สุดก็คือ มียารักษาที่ไหน ซื้อได้ที่ไหน มียารักษาสิวยี่ห้ออะไรที่ทาแล้วหายเลย ยารักษาสิวมีจริงไหม อะไรทำนองนั้น เรามาทำความรู้จักสิวกันให้แจ่มแจ้งไปเลยว่ามันสามารถรักษาให้หายได้จริงหรือไม่

ป้องกัน และ รักษาสิวด้วยตัวเอง

"สิว" เรื่องเล็กที่ไม่เล็กสำหรับสาวๆ เพราะเป็นขึ้นมาทีไร ไม่ค่อยจะ ยอมหาย ไปง่ายๆ แถมยังชอบขึ้น ในจุดเด่นๆ ให้ใครๆทัก จนเจ้าของ (สิว) อดจะกระอัก กระอ่วนใจไม่ได้ แต่ต่อไปนี้ คุณไม่ต้อง ลำบากใจ กับเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว เพราะเรามีวิธีดูแล รักษาผิวพรรณ ทั้งยามก่อนและ หลังเป็นสิว มาให้ทดลอง ทำกันตั้งหลายวิธี ยังไงๆ ก็ต้องมีที่เหมาะ กับคุณสักข้อละน่า

เรียนรู้และเข้าใจ "สิว"
สิว เกิดได้กับคนทุกวัย แต่มักเป็นมากที่สุดกับวัยรุ่น อายุระหว่าง 12-24 ปี ซึ่งโดยปกติแล้ว พออายุย่างเข้าเลขสาม สิวก็มักจะค่อยๆ หายไปเอง ยกเว้น ในบางช่วง ที่ระดับฮอร์โมน ผันแปร เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน ก็อาจมีมาให้เห็นบ้างประปราย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร

แต่ถ้าใครเป็นสิว แล้วไม่หายสักที สันนิษฐาน ไว้ก่อนได้เลยว่า อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ อันนี้รักษาเองไม่มีทางหายแน่ ควรรีบไปปรึกษา คุณหมอวิเคราะห์เจาะลึกกัน ไปเลยว่าใช้ยาอะไรดี ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ทดลองวิธีป้องกันและรักษาสิว คงมีสักข้อที่เหมาะกับคุณ

ป้องกัน และ รักษา"สิว"

ดูแลรักษาความสะอาดให้ถูกวิธี

1.1 ทำความสะอาดผิวด้วยคลีนเซอร์อย่างอ่อน วันละ 2 ครั้งเท่านั้น คือ 1 ครั้งในตอนเช้า และอีก 1 ครั้งในตอนเย็นหรือก่อนนอน ถ้าไม่แน่ใจว่า จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนดี ให้ลองปรึกษาคุณหมอ

1.2 ล้างหน้าทุกครั้ง หลังทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก แต่เน้นว่า ล้างด้วย น้ำเปล่าเท่านั้น

1.3 งดใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกขัด-ถู ทั้งหลายให้หมด รวมทั้งสบู่ที่ค่อน ข้างแรง เพราะนอกจากไม่ช่วยให้สิวหาย ยังอาจทำให้ระคายเคือง หรือติดเชื้อ มากขึ้นกว่าเดิม

1.4 เมื่อใช้คลีนเซอร์ล้างหน้า ต้องล้างออกให้หมดจด อย่าให้มี คราบตกค้าง
และการล้างหน้าต้องล้างให้ขึ้นไปตีนผม เพื่อล้างน้ำมันและคราบสกปรก ที่อาจจะเป็นตัวก่อสิวออกไป สำหรับคนที่มีผมมัน ควรสระผมทุกวัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหัวสิว

การสัมผัสที่หัวสิว ไม่ว่าจะเป็นจับเพราะ อยากรู้ว่าเจ็บหรือเปล่า, จับเพราะ เห็นว่า ขนาดมันเริ่มโตขึ้น หรือจับเพราะคันไม้คันมือ อยากจะบีบมันออก ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว นอกจากไม่ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น ยังส่งผลเสียใน ระยะยาว คือทำให้เกิดแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ขึ้นบนหน้า ถ้าไม่อยาก มีรอยแผลเป็นเอาไว้เตือนใจละก็ ดูแต่ตา (มืออย่าต้อง) เป็นดีที่สุด

ไม่ควรอาบแดด

หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า อาบแดด ช่วยให้สิวยุบ จริงๆแล้วไม่เกี่ยว กันเลย แต่ที่เราเห็นเป็นอย่างนั้น เพราะสีผิวที่คล้ำขึ้น ทำให้มองเห็นเม็ดสิว ไม่ชัด และแสงแดดทำให้ผิวแห้งขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าจะพูดถึงผลระยะยาว การอาบแดดน่ะมีแต่ภัยร้ายทั้งนั้น ทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย แถมยังอาจ มีมะเร็งผิวหนังเป็นของแถม และสำหรับคนที่ทายาแก้สิว การถูกแสงแดด แรงๆ จะทำให้ผิวไหม้เสียด้วยซี เห็นไหมว่าไม่มีข้อดีเลย เก็บผิวไว้สู้แดด ตอนที่สิวหายแล้วจะดีกว่า

เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสม

1.1 ช่วงที่รักษาสิว ถ้าจะให้ได้ผลดี ให้เปลี่ยนมาใช้เครื่องสำอาง ประเภท ปราศจากน้ำมัน (oil-free) ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น, บรัชออน, อายแชว์โดว์ หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์

1.2 อย่าตื่นตกใจ ถ้าช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ของการ รักษาสิว อาจจะทารองพื้นยากไปสักนิด เพราะตัวยาบางประเภท เช่น topical tretinoin หรือ benzoyl poroxide ทำให้ผิวแดง หรือเป็น สะเก็ด แต่ไม่นานอาการนี้จะหายไปเอง

1.3 งดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผมสักระยะ เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่ ที่ตีนผม ให้เกิดสิว หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น -เลือกใช้เครื่อง สำอางที่มีป้ายบอกว่า noncomedogenic (ไม่ก่อให้เกิดสิว)

ทำความสะอาดรูขุมชนด้วยสมุนไพร

ทำความสะอาดรูขุมขนอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ด้วยไอน้ำจากสมุนไพร ธรรมชาติ
ส่วนผสม
-ใบไธม์แห้ง (thyme-เป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง) 2 ช้อนโต๊ะ
- ลาเวนเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำร้อน 1 ชามอ่าง
วิธีการทำก็ง่ายๆ แค่นำส่วนผสมใส่รวมกันในชามอ่าง แล้วใช้ผ้าขนหนู คลุม ศรีษะไว้เหนือชามอ่าง เพื่อให้ใบหน้าได้รับ ไอน้ำจากสมุนไพร ทั้งสองชนิด ประมาณ 10 นาที
หมายเหตุ :
ระวังอย่าเอาหน้าเข้าไปใกล้เกินไป ผิวอาจจะเกิดอาการแสบ เพราะความร้อน : สมุนไพรทั้งสองชนิด มีคุณสมบัติในการปกป้อง ผิวจากเชื้อจุลินทรีย์ และช่วยไม่ให้เกิดการติดเชื้อ

กินอาหารสร้างเซลล์ผิว

สำหรับคนที่เป็นสิว ให้กินสังกะสี (จากในอาหารหรือชนิดเม็ดก็ได้ คงไม่มีใครที่ไหนไปกัดสังกะสีกินหรอกนะ) วันละประมาณ 30-45 มิลลิกรัม จะช่วยให้ร่างกาย สร้างเนื้อเยื่อผิว ใหม่ได้ดีขึ้น

"โกน" อย่างไรให้ปลอดภัย

ข้อสุดท้าย
เผื่อสำหรับสาวๆ ที่แฟนหนุ่มมี ปัญหาเรื่องสิว การโกนหนวด ก็มีผลกับสิวเหมือนกัน เพราะเป็นหนึ่งใน กิจกรรมที่สร้างความระคาย เคืองให้กับผิว

วิธีการโกนหนวดที่ถูกต้องและปลอดภัย คือ ให้เลือกที่โกนหนวด ที่เหมาะมือ (จะได้ไม่พลาดพลั้งเวลาโกน) ใบมีดคม (ทำให้โกนง่าย) และใช้สบู่และน้ำ ทำความสะอาดหนวดเสีย ก่อน แล้วจึงค่อยชโลมครีม โกนหนวดลงไป จะทำให้เส้นขนนุ่มและโกนง่ายขึ้น

ที่มา
http://baantomdy.narak.com/topic.php?No=24874