วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

การมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งต่างๆ ย่อมดีกว่าการทำไปตามความสามารถธรรมดา เพราะถ้าหากที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย ย่อมมีผลออกมาดีกว่าการทำตามหน้าที่ ทำอย่างไรเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ ฝึกได้ครับ ฝึกได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

9 วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

1.ดื่มน้ำให้บ่อยๆ โดยอาจจะใช้วิธีการจิบครั้งละนิดๆก็ได้ เพราะในสมองของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 % ของเซลล์สมอง ดังนั้นถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ก็จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่างๆ ช้าหรือคิดไม่ออกเลย

2.กินไขมันดีหรือโอเมก้า 3 สมองน้อยๆ ของเรานั้นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเข้าไปเพื่อเป็นการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีอยู่นั้น ก็เช่น ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เป็นต้น

3.นั่งสมาธิ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเกิดสติในการคิดสิ่งต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนั้นในแต่ละวันเราควรที่จะหาเวลานั่งสมาธิบ้าง แม้จะเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเราสามารถนั่งสมาธิได้

4.ตั้งใจทำจริงๆ เพราะถ้าตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็ควรที่จะตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ เพราะการตั้งใจทำถือว่าเป็นฝึกสมองอีกรูุปแบบหนึ่ง

5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะเวลาที่เราทำ 2 สิ่งนี้ สารเอ็นโดรฟินก็จะถูกหลั่งออกมา สารนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คิดและทำสิ่งดีๆ ออกมา

6.เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวในร้านอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือเล่มใหม่ ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้สารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา สารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังจะทำให้มีความสุขอีกด้วย

7.ให้อภัย เพราะถ้าเรารู้สึกโมโห โกรธ สมองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย ดังนั้นเราควรที่จะรู้จักให้อภัยคนอื่น และให้อภัยตัวเองเพื่อสมองน้อยๆ ของเรา

8.เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เราเจอมาในแต่ละวันลงไปในไดอารี่ เช่น วันนี้ได้เจอเพื่อนใหม่ , ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เป็นต้น เพราะการเขียนสิ่งดีๆ จะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย และยังเป็นการช่วยฝึกฝนสมองให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอีกด้วย

9.ฝึกหายใจเข้าลึกๆ เพราะสมองน้อยๆ ของเรานั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วย ดังนั้นถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ ก็จะเป็นช่วยการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะสามารถทำให้ให้ปอดขยายใหญ่และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20%

วิธีฝึกสมองทั้ง 9 ข้อที่สามารถนำไปปฏิบัติและทำได้ทุกวัน ทำเพียงแค่วันละนิดก็ช่วยทำให้สมองน้อยๆ ของเราคิดและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Zybernia.wordpress.com

ดูอย่างไรว่าเขารักเราจริงหรือเปล่า

20 เคล็ดลับล่วงรู้ว่า เขารักเราจริงหรือเปล่า

ขอเตือนไว้ก่อนนะครับ ว่าอย่ายึดติดกับสิ่งที่ได้อ่านนี้เสมอ เพราะในเมื่อคุณมาเจอข้อความนี้ ผู้ชายหรือแฟนของคุณก็อาจจะเจอเช่นเดียวกัน ฉะนั้นอย่าปักใจว่า ถ้าหากคนที่ทำตามข้อมูลเหล่านี้จะเป็นคนรักจริงของเรา เพราะเขาออาจจะแกล้งทำเพราะรู้ว่าวิธีเหล่านี้ใช้ได้ผล แต่สิ่งที่สามารถจะพิสูจน์ได้ก็คือ เวลาที่อยู่ด้วยกันเท่านั้น ที่สำคัญอย่ารีบมีอะไรกับใครง่ายๆ เพราะถ้าอะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็ย่อมไม่มีคุณค่าพอที่จะถนอมรักษามันไว้ ผุ้ชายเขาคิดเช่นนี้

1. เขาโทรหาคุณทุกๆ วันเลย เพื่อเล่าเรื่องต่างๆ ของเขาให้คุณฟัง

2. เขาหัวเราะให้กับมุขตลกของคุณเสมอ ไม่ว่าจะ "ขำ" หรือฝืด"

3. เขาบอกคุณอย่างจริงใจว่า เขาคิดถึงคุณจังเลย

4. เขานวดหลังให้คุณ โดยที่ไม่ขอให้คุณนวดให้เขาเป็นการตอบแทน

5. เขาโทรหาคุณบางช่วงของวัน เพราะเขาแค่ต้องการพูดว่า "คิดถึง คุณจัง"

6. เขามาหาคุณ และอยู่ข้างๆ คุณเวลาที่คุณไม่สบาย

7. เขามีข้อความพิเศษๆ แบบอ่านแล้วยิ้มแก้มปริให้กับคุณ

8. เขาชวนคุณเต้นรำในเพลงช้า!!!

9. เขามีของขวัญพิเศษให้คุณเสมอ แบบไม่ต้องรอวันพิเศษใดๆ

10. เขาจำวันพิเศษของคุณได้เสมอ!!!

11. เขาหอมแก้มคุณ เพราะอยากที่จะหอม ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นๆ

12. เขาพาคุณไปเดินเล่น ดูพระอาทิตย์ตกดิน หรือดูดาวกับคุณ

13. เขาเล่าความลับของเขาแบบที่มีแค่เขาเท่านั้นที่ ให้คุณฟัง

14. เขาบอกคุณอย่างจริงใจว่า คุณดูสวยเสมอสำหรับเขา

15. เขายอมดูละครน้ำเน่าเรื่องโปรดของคุณเป็นเพื่อน

16. เขาทำให้คุณประหลาดใจด้วยอาหารมื้อค่ำที่ทำให้คุณประทับใจ

17. เขาทำให้คุณรู้สึกประทับใจเสมอ

18. เขาบอกรักคุณ โดยไม่หวังว่าคุณจะตอบว่าอะไร

19. เขาแสดงให้คุณรู้สึกได้ว่า เขาไม่เคยลืมความสำคัญของคุณเลย

20. เขากอดคุณเต็มอ้อมแขนเวลาที่เขาอยากกอดคุณ โดยที่ไม่ต้องรอโอกาสพิเศษใดๆ

ที่มา http://variety.thaiza.com

ลดความอ้วนให้ได้ผลจริงๆ

ลดความอ้วนให้ได้ผลจริงๆ

คงจะมีเพื่อนๆหลายคนที่กำลังอยากลดความอ้วนอยู่ใช่ไหมล่ะ วันนี้ เรา เลยจะมาขอเล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักอย่างตรากตรำของเราให้เพื่อนฟัง

พูดถึงประวัติ ก่อนลดน้ำหนักก่อนนะ ก่อนจะลดเราน้ำหนัก 53 กก. สูง 163 ซม. ช่วงนั้น แขน ขา ใหญ่ อย่างรับไม่ได้เลย

ปัจจัยส่วนใหญ่ของน้ำหนักคราวนั้นคือ กินเค้ก กินอาหารเยอะมาก หลายมื้อเรย ตอนดึกๆก็ยังออกไปกินนมกับเพื่อนอยู่เลย ถามเพื่อนๆว่าเราอ้วนไหม เพื่อนๆบอกว่าไม่หรอก แค่ดูตัวใหญ่ แต่พอพวกผู้ชายมาพูดเท่านั้นแหละ บอกว่าเรา อวบ เรายอมไม่ได้ เลยต้องเริ่มลดน้ำหนัก

เราเริ่มศึกษา อ่านหนังสือ ทุกเล่มที่ว่าเด้วยการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน รวมถึงเรื่องการล้างพิษด้วย เราจึงได้รวบรวมวิธีและหลักการการลดความอ้วนมาได้ดังนี้

** สิ่งที่ควรจำในการลดความอ้วน+สุขภาพดี**

1. การงดเว้น อาหารบางมื้อ อาจช่วยสามารถลดน้ำหนักได้ในช่วงแรกๆ แต่จะทำให้ระบบเผาผลาญ
เราช้าลง ดังนั้นควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ในประมาณที่พอเหมาะ

2. การนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรนอนระหว่าง 3ทุ่ม - ตี 3 และควรปิดไฟนอน เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับระบบภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 7 -8 แก้วเพื่อการขับถ่ายและเป็นการล้างพิษไปในตัว

4. การออกกำลังกายลดความอ้วนอย่างได้ผล คือ ออกกำลังกายติดต่อกันเป็นเป็นเวลา อย่างน้อย 20นาที และไม่เกิน 2 ชั่วโมง (คนปกตินะจ้ะ ไม่ใช่นักกีฬา )ในช่วงลดน้ำหนักควรออกกำลังกายอย่างน้อย อาทิตย์ละ 4 วัน

เวลาในการออกกำลังกาย ช่วยให้การเผาผลาญที่ต่างกันนะ

ช่วงเช้า ตั้งแต่ ตี5-9โมงกำลังดี เพราะแดดไม่ร้อน อีกทั้งยังทำให้ร่างกายตื่นตัว ช่วงนี้ร่างกายจะเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างได้ดีมากๆ

ช่วงเย็น ตั้งแต่ 4 โมงเย็น- 1 ทุ่ม เป็นช่วงที่ร่างกายจะเผาผลาณคาร์โบไฮเดรต ที่อาจจะเหลือและสะสมเป็นไขมันได้

ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ควรออกกำลังกายหนักๆ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 วัน

5. อาหารเย็น สำหรับคนลดน้ำหนัก ควรรับประทาน ก่อน 6 โมงเย็น ช้าสุด ไม่เกิน 2 ทุ่ม

ที่นี้เราจะมาพูดถึงวิธีลดความอ้วนของเราบ้างนะ เราใช้วิธีลดอาหารพวกแป้ง (หมอบอก)+คำนวณแคลอรี ช่วงที่เราลดเป็นช่วงปิดเทอม เลยไม่มีปัญหา

ช่วง 2 อาทิตย์แรก เราไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่กินอาหารจากแป้ง งดผลไม้นำตาลเยอะเช่น สัปปะรด มะละกอสุก มะม่วงสุก รับประทาน พวกฝรัง แอปเปิ้ลเขียว เนื้อสัตว์ทุกชนิดเรย ช่วงนั้น เราจะไม่ค่อย ไม่แรงเท่าไหร่ น้ำหนักลดลง ไป 3 กิโล (ช่วงนี้ต้องอดทนมากเรยๆ)

ช่วง 2 อาทิตย์หลัง กินข้าวบ้าง แต่ไม่มาก ประมาณมื้อละ 3-5 ช้อน ออกกำลังกายเกือบทุกวัน ส่วนใหญ่จะไปวิ่ง วันละ 3 รอบ รอบละ 800 เมตร

เวลาผ่านไป 1 เดือน เปิดเทอมพอดี

ตอนเช้า เราเปลี่ยนสูตร เป็น เช้า ขนมปังโฮลวีต ทา เบคบีน กับนมขาดมันเนย 1 กล่อง กลางวัน อะไรก็ได้ แต่ไม่มีคาร์โบไฮเดรค วุ้นเส้นก็กินไม่ได้นะ เย็น แอปเปิ้ลเขียว 1 ลูก วิ่ง วันละ 3 รอบ
สรุป ลดไปได้ 4 กิโล แต่ว่า สัดส่วนลดลง และกระชับอย่างเห็นได้ชัด

พยายามทำอย่างนั้นอีกเป็นเวลา 1 เดือน แต่กฏไม่เข้มเท่า กินขนมบ้าง น้ำหนัก คงที่

ที่มา
http://writer.dek-d.com/deksmart/story/view.php?id=153748

แก้ปัญหาหน้ามัน

แก้ปัญหา หน้ามัน

“ทำหน้าให้มัน มันๆ ดิ๊” ประโยคนี้จากในโฆษณา คงแทงใจดำคนหน้ามันไปหลายคนเชียว บางคนคงคิดอยู่ในใจว่า “ไม่ต้องทำอะไร หน้าชั้นก็มันอยู่แล้วอ่ะ” มาดูกันซิว่า สาวผิวมันเค้าต้องดูแลตัวเองยังไงกันบ้าง

เรื่องหน้ามัน เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์ ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ เช่น ขาหมู ไอศกรีม กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามัน คือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้ม


การดูแลผิวพรรณสำหรับผู้ที่มีหน้ามัน และรูขุมขนกว้างนั้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามสภาพผิว ซึ่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด อย่างแรก การทำความสะอาด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว และตามด้วยครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวมัน ซึ่งบางคนอาจคิดว่าสภาพผิวมันนั้นไม่ต้องใช้ครีมบำรุงผิว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครีมบำรุงผิวมีความสำคัญมากในการดูแลผิว และเปรียบเสมือนเสื้อคลุมปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คงความชุ่มชื่นให้ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น ตามด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด ต้องเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB สามารถป้องกันทั้งการเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ ที่เกิดจากรังสี UVB และป้องกันการเกิดริ้วรอย ที่เกิดจากรังสี UVA สำหรับผลิตภัณฑ์กันแดดสำหรับผิวมัน ควรเป็นลักษณะโลชั่น นอกเหนือจากการดูแลผิวทั่วไป การถนอมผิว แนะนำว่าไม่ให้รบกวนผิว หรือเช็ดถูผิวหน้าแรงๆ


การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน

หากคุณเป็นคนนึงที่มีผิวหน้ามันเป็นปัญหาหนึ่งของชีวิตที่น่ารำคาญใจ สิ่งสำคัญของสาวผิวมันนั้น อยู่ที่การทำความสะอาดใบหน้าให้สม่ำเสมอ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพิ่มความมันบนใบหน้าให้มีมากไปกว่าเดิม โดยควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

1. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าแบบอ่อนๆ หรือเจลใสไร้ฟอง เพื่อให้ผิวไม่เกิดการระคายเคือง สาวผิวมันบางคนอาจไม่คุ้นชินกับการล้างหน้าโดยใช้โฟมล้างหน้าแบบไม่มีฟอง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่ายังล้างหน้าไม่สะอาด จริงๆ แล้วเป็นความคิดที่ผิดนะคะ เพราะว่าการล้างหน้าโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฟองนั้น จะทำให้สารเคลือบผิวบนใบหน้า ถูกทำลายน้อยกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบที่มีฟองเยอะเลยล่ะค่ะ สำหรับผู้ที่อยากลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบไม่มีฟอง ขอแนะนำว่า ขณะกำลังล้างหน้าให้ใช้มือวนเป็นวงๆ เบาๆ ให้ทั่วใบหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนออก จากนั้นใช้สำลีเช็ดผลิตภัณฑ์ล้างหน้านั้นออกก่อนการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้คุณก็จะรู้สึกว่าการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์แบบไม่มีฟองนั้น ช่วยให้คุณรู้สึกว่าล้างหน้าสะอาดหมดจดได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงค่ะ

2. ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อเปิดรูขุมขนให้สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึก จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในน้ำสุดท้ายเพื่อกระชับรูขุมขน

3. ใช้โทนเนอร์ที่ช่วยควบคุมความมันและกระชับรูขุมขนหลังการล้างหน้า

4. จากนั้น ตามด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวสำหรับสาวผิวมันโดยเฉพาะ หรือใช้โลชั่นควบคุมความมันทาในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการแต่งหน้า ที่สำคัญ ทุกขั้นตอนที่กล่าวมาก็ควรปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะผิวหน้าจะสวยและมีสุขภาพดีได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวนั่นแหละค่ะ ว่าจะดูแลผิวหน้าของตัวเองได้ดีแค่ไหน เพราะใช่ว่าหน้ามันๆ จะทำให้ชีวิตต้องเศร้าหมองประคองอารมณ์เสมอไป อย่างน้อยสาวผิวมันอย่างเรา ก็เหี่ยวและเกิดริ้วรอยได้ช้ากว่าสาวผิวแห้ง

5. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

6. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ AHA BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น


สูตรไม่ลับ (เฉพาะ) แก้หน้ามันเยิ้ม

สาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องอาการหน้ามันทุก 5 นาที ควรดูหน้านี้โดยด่วน เพราะอาการหน้ามันเนี่ย เรื่องใหญ่แห่งชาติเลยนะคะ คุณขา เพราะว่าอาการสาวๆ หน้ามันเนี่ยมันทำให้หนุ่มที่เดินข้างๆ รู้สึกเสียอารมณ์สุดๆ ช่วยโบ๊ะหน่อยก็ดี แต่บางคนยิ่งโบ๊ะก็ยิ่งเยิ้ม ไปกันใหญ่เลย เอาเป็นว่าเรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันดีกว่า ด้วยวิธีแสนจะง่ายและปราศจากผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ

1. นำสตอเบอร์รี่ 2 ลูกล้างให้สะอาด แตงกวา 1 ลูกล้างให้สะอาด
2. นำมาใส่เครื่องปั่นผสมกันให้ละเอียด
3. แล้วนำมาพอกหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ประมาณ 20 นาที
4. เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ

แค่นี้ก็ช่วยได้แล้วจ้า เพราะจะช่วยกระชับรูขุขนให้ระเอียดขึ้นด้วย และอาจจะใช้สัปปะรด ฝานบางๆ แช่เย็นไว้ แล้วนำมาวางบนหน้า ซัก 10 นาทีต่อ ก็จะช่วยเรื่องหน้ามันได้อีกด้วยค่ะ ขอแนะนำว่าอาทิตย์นึงทำซักครั้งก็พอนะคะ รับรองว่านานผิวหน้าคุณๆ ก็จะสดใส เนียนนุ่ม และไม่มันได้แน่นอนค่ะ


ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topic/แก้ปัญหา_หน้ามัน/

สิว สิว สิว ทำอย่างไรให้หายเป็นสิว...ผมมีวิธี

ไม่ว่าใครต่อใคร ก็มักจะมีปัญหาเรื่อง สิว ตอนที่ไม่เป็นก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ พอเป็นแล้วก็วุ่นวายกันใหญ่ เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะตอนที่ไม่เป็นมันก็ไม่ใช่ปัญหาน่ะสิ พอได้เป็นขึ้นมาก็ค้นหากการรักษากันยกใหญ่ วิธีที่หลายคนต้องการมากที่สุดก็คือ มียารักษาที่ไหน ซื้อได้ที่ไหน มียารักษาสิวยี่ห้ออะไรที่ทาแล้วหายเลย ยารักษาสิวมีจริงไหม อะไรทำนองนั้น เรามาทำความรู้จักสิวกันให้แจ่มแจ้งไปเลยว่ามันสามารถรักษาให้หายได้จริงหรือไม่

ป้องกัน และ รักษาสิวด้วยตัวเอง

"สิว" เรื่องเล็กที่ไม่เล็กสำหรับสาวๆ เพราะเป็นขึ้นมาทีไร ไม่ค่อยจะ ยอมหาย ไปง่ายๆ แถมยังชอบขึ้น ในจุดเด่นๆ ให้ใครๆทัก จนเจ้าของ (สิว) อดจะกระอัก กระอ่วนใจไม่ได้ แต่ต่อไปนี้ คุณไม่ต้อง ลำบากใจ กับเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว เพราะเรามีวิธีดูแล รักษาผิวพรรณ ทั้งยามก่อนและ หลังเป็นสิว มาให้ทดลอง ทำกันตั้งหลายวิธี ยังไงๆ ก็ต้องมีที่เหมาะ กับคุณสักข้อละน่า

เรียนรู้และเข้าใจ "สิว"
สิว เกิดได้กับคนทุกวัย แต่มักเป็นมากที่สุดกับวัยรุ่น อายุระหว่าง 12-24 ปี ซึ่งโดยปกติแล้ว พออายุย่างเข้าเลขสาม สิวก็มักจะค่อยๆ หายไปเอง ยกเว้น ในบางช่วง ที่ระดับฮอร์โมน ผันแปร เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน ก็อาจมีมาให้เห็นบ้างประปราย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร

แต่ถ้าใครเป็นสิว แล้วไม่หายสักที สันนิษฐาน ไว้ก่อนได้เลยว่า อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ อันนี้รักษาเองไม่มีทางหายแน่ ควรรีบไปปรึกษา คุณหมอวิเคราะห์เจาะลึกกัน ไปเลยว่าใช้ยาอะไรดี ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ทดลองวิธีป้องกันและรักษาสิว คงมีสักข้อที่เหมาะกับคุณ

ป้องกัน และ รักษา"สิว"

ดูแลรักษาความสะอาดให้ถูกวิธี

1.1 ทำความสะอาดผิวด้วยคลีนเซอร์อย่างอ่อน วันละ 2 ครั้งเท่านั้น คือ 1 ครั้งในตอนเช้า และอีก 1 ครั้งในตอนเย็นหรือก่อนนอน ถ้าไม่แน่ใจว่า จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนดี ให้ลองปรึกษาคุณหมอ

1.2 ล้างหน้าทุกครั้ง หลังทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก แต่เน้นว่า ล้างด้วย น้ำเปล่าเท่านั้น

1.3 งดใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกขัด-ถู ทั้งหลายให้หมด รวมทั้งสบู่ที่ค่อน ข้างแรง เพราะนอกจากไม่ช่วยให้สิวหาย ยังอาจทำให้ระคายเคือง หรือติดเชื้อ มากขึ้นกว่าเดิม

1.4 เมื่อใช้คลีนเซอร์ล้างหน้า ต้องล้างออกให้หมดจด อย่าให้มี คราบตกค้าง
และการล้างหน้าต้องล้างให้ขึ้นไปตีนผม เพื่อล้างน้ำมันและคราบสกปรก ที่อาจจะเป็นตัวก่อสิวออกไป สำหรับคนที่มีผมมัน ควรสระผมทุกวัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหัวสิว

การสัมผัสที่หัวสิว ไม่ว่าจะเป็นจับเพราะ อยากรู้ว่าเจ็บหรือเปล่า, จับเพราะ เห็นว่า ขนาดมันเริ่มโตขึ้น หรือจับเพราะคันไม้คันมือ อยากจะบีบมันออก ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว นอกจากไม่ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น ยังส่งผลเสียใน ระยะยาว คือทำให้เกิดแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ขึ้นบนหน้า ถ้าไม่อยาก มีรอยแผลเป็นเอาไว้เตือนใจละก็ ดูแต่ตา (มืออย่าต้อง) เป็นดีที่สุด

ไม่ควรอาบแดด

หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดว่า อาบแดด ช่วยให้สิวยุบ จริงๆแล้วไม่เกี่ยว กันเลย แต่ที่เราเห็นเป็นอย่างนั้น เพราะสีผิวที่คล้ำขึ้น ทำให้มองเห็นเม็ดสิว ไม่ชัด และแสงแดดทำให้ผิวแห้งขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าจะพูดถึงผลระยะยาว การอาบแดดน่ะมีแต่ภัยร้ายทั้งนั้น ทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย แถมยังอาจ มีมะเร็งผิวหนังเป็นของแถม และสำหรับคนที่ทายาแก้สิว การถูกแสงแดด แรงๆ จะทำให้ผิวไหม้เสียด้วยซี เห็นไหมว่าไม่มีข้อดีเลย เก็บผิวไว้สู้แดด ตอนที่สิวหายแล้วจะดีกว่า

เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสม

1.1 ช่วงที่รักษาสิว ถ้าจะให้ได้ผลดี ให้เปลี่ยนมาใช้เครื่องสำอาง ประเภท ปราศจากน้ำมัน (oil-free) ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น, บรัชออน, อายแชว์โดว์ หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์

1.2 อย่าตื่นตกใจ ถ้าช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ของการ รักษาสิว อาจจะทารองพื้นยากไปสักนิด เพราะตัวยาบางประเภท เช่น topical tretinoin หรือ benzoyl poroxide ทำให้ผิวแดง หรือเป็น สะเก็ด แต่ไม่นานอาการนี้จะหายไปเอง

1.3 งดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผมสักระยะ เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่ ที่ตีนผม ให้เกิดสิว หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น -เลือกใช้เครื่อง สำอางที่มีป้ายบอกว่า noncomedogenic (ไม่ก่อให้เกิดสิว)

ทำความสะอาดรูขุมชนด้วยสมุนไพร

ทำความสะอาดรูขุมขนอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ด้วยไอน้ำจากสมุนไพร ธรรมชาติ
ส่วนผสม
-ใบไธม์แห้ง (thyme-เป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง) 2 ช้อนโต๊ะ
- ลาเวนเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำร้อน 1 ชามอ่าง
วิธีการทำก็ง่ายๆ แค่นำส่วนผสมใส่รวมกันในชามอ่าง แล้วใช้ผ้าขนหนู คลุม ศรีษะไว้เหนือชามอ่าง เพื่อให้ใบหน้าได้รับ ไอน้ำจากสมุนไพร ทั้งสองชนิด ประมาณ 10 นาที
หมายเหตุ :
ระวังอย่าเอาหน้าเข้าไปใกล้เกินไป ผิวอาจจะเกิดอาการแสบ เพราะความร้อน : สมุนไพรทั้งสองชนิด มีคุณสมบัติในการปกป้อง ผิวจากเชื้อจุลินทรีย์ และช่วยไม่ให้เกิดการติดเชื้อ

กินอาหารสร้างเซลล์ผิว

สำหรับคนที่เป็นสิว ให้กินสังกะสี (จากในอาหารหรือชนิดเม็ดก็ได้ คงไม่มีใครที่ไหนไปกัดสังกะสีกินหรอกนะ) วันละประมาณ 30-45 มิลลิกรัม จะช่วยให้ร่างกาย สร้างเนื้อเยื่อผิว ใหม่ได้ดีขึ้น

"โกน" อย่างไรให้ปลอดภัย

ข้อสุดท้าย
เผื่อสำหรับสาวๆ ที่แฟนหนุ่มมี ปัญหาเรื่องสิว การโกนหนวด ก็มีผลกับสิวเหมือนกัน เพราะเป็นหนึ่งใน กิจกรรมที่สร้างความระคาย เคืองให้กับผิว

วิธีการโกนหนวดที่ถูกต้องและปลอดภัย คือ ให้เลือกที่โกนหนวด ที่เหมาะมือ (จะได้ไม่พลาดพลั้งเวลาโกน) ใบมีดคม (ทำให้โกนง่าย) และใช้สบู่และน้ำ ทำความสะอาดหนวดเสีย ก่อน แล้วจึงค่อยชโลมครีม โกนหนวดลงไป จะทำให้เส้นขนนุ่มและโกนง่ายขึ้น

ที่มา
http://baantomdy.narak.com/topic.php?No=24874

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"


วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"

อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

"รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีล้างผักให้ปลอดภัย



แน่ใจหรือไม่ว่าผักที่ซื้อมารับประทานนั้นไม่มีสารพิษตกค้าง ทางที่ดีควรล้างผักด้วยการใช้น้ำยาล้างผักจะเป็นการช่วยลดสารพิษในผักก่อน วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีทำน้ำยาล้างผักแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองมาบอก

- สูตรน้ำส้มสายชู (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาดหรือน้ำประปาธรรมดา 15-20 ลิตร แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

- สูตรน้ำเกลือ (ลดสารพิษได้ถึง 60-70%)
นำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 4-5 ลิตร แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

- สูตรน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 20-25 ลิตร แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

ล้างผักให้สะอาดเพียงเท่านี้ ก็จะได้รับประทานผักที่ปลอดสารพิษแล้ว.




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหลังภาพยนตร์ 2012 ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยดู

2012 เป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังมากๆ เรื่องหนึ่ง ทำให้เด็กๆ และหลายคนเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าหากได้ชมคลิปวิดีโอต่อไปนี้อาจจะทำให้คิดเป็นอีกเรื่องว่า มันช่างทำยากเย็นอย่างนี้เชียวหรือ ไปดูกันครับ


Watch the 2012 Special Effects Vlog - 'Yellowstone




2012 - Special Effects On Set

จะลบรอยขีดข่วนบนแผ่น DVD ได้อย่างไร


Does cleaning a CD/DVD with a banana work?

การเล่นรูบิคให้ชนะ

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไร! เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

ทำอย่างไร! เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

มือโดนน้ำร้อนลวก / ไฟไหม้จะเกิดตุ่มใสพอง


บทความโดย รศ.นพ.พรพรหม เมืองแมน ภาควิชาศัลยศาสตร์

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกพบได้บ่อย โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ ความประมาท ขาดความระมัดระวัง ซึ่งอาการการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัยครับ ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ระดับความลึกของบาดแผลและขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนั้น ๆ

3 ระดับความลึกของบาดแผล

ความลึก ระดับ 1 คือ บาดแผลอยู่แค่เพียงผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น ซึ่งโดยปกติจะหายเร็วและไม่เกิดแผลเป็น

ความลึก ระดับ 2 คือ บาดเจ็บในบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ บาดแผลประเภทนี้ ถ้าไม่มีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนมักจะหายภายใน 2-3 อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผลจากอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดร่องรอยผิดปกติของบริเวณผิวหนัง หรืออาจมีโอกาสเกิดแผลเป็น แผลหดรั้งตามได้ ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง กรณีถูกไฟไหม้ หากบาดเจ็บไม่ลึกมากก็จะพบว่าบริเวณผิวหนังจะมีตุ่มพองใส เมื่อตุ่มพองนี้แตกออกบริเวณบาดแผลเบื้องล่างจะเป็นสีชมพู และผู้ป่วยจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก แต่ถ้าพยาธิสภาพค่อนข้างลึกจะพบว่า สีผิวหนังจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือขาว ไม่ค่อยเจ็บ

ความลึก ระดับ 3 คือ ชั้นผิวหนังทั้งหมดถูกทำลายด้วยความร้อน บาดแผลเหล่านี้มักจะไม่หายเอง มีแนวโน้มการติดเชื้อของบาดแผลสูง และมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งตามมาสูงมากถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง

สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

1.ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลช่วยลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณบาดแผลได้
2.หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์ แต่ถ้าไฟไหม้ น้ำร้อนลวกบริเวณใบหน้า จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะบริเวณใบหน้ามักจะเกิดอาการระคายเคืองจากยาที่ใช้ ห้ามใส่ยาใด ๆ ก่อนถึงมือแพทย์ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการตอบสนองต่อตัวยาไม่เหมือนกัน จะต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์


เมื่อตุ่มใสพองแตกจะเห็นเนื้อชั้นใน


ข้อห้ามเมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใดๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น โดยเฉพาะยาสีฟัน น้ำปลา เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น รอยแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก สามารถเกิดได้ในกรณีที่บาดแผลมีความลึกค่อนข้างมาก หรือ ไม่ได้รับการรักษาโดยถูกต้อง แต่เมื่อเกิดรอยแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นแล้ว สามารถรักษาและทำให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าจ ะไม่สามารถทำให้สีผิวกลับมาเหมือนปกติได้ดังเดิมก็ตาม

การรักษาเริ่มตั้งแต่…

1. ใช้ยาทาในระยะเริ่มต้น
2. การใส่ชุดผ้ารัด ในกรณีที่รอยแผลจากไฟไหม้น้ำร้อนลวกมีแนวโน้มที่จะนูนมากขึ้นและไม่
ตอบสนองต่อการใช้ยาทา
3. ฉีดยาลบรอยแผลเป็น ซึ่งจะทำได้ในกรณีที่เกิดรอยแผลนูนและไม่ตอบสนองต่อการใส่ชุดผ้ารัด
4. ผ่าตัดแก้ไข โดยแพทย์จะต้องทำการประเมินลักษณะและความรุนแรงของบาดแผล

ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของบาดแผลหดรั้งเหล่านั้น... โดยทั่วไปช่วงอายุของผู้ป่วยไม่เป็นอุปสรรคในการรักษาบาดแผล และวิทยาการการรักษา ณ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก

ดูแลตนเองหลังการรักษา

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นผง หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ระคายเคือง
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด เพราะหากโดนบริเวณแผลก็อาจทำให้คันหรือมีการติดเชื้อได้ง่าย
3.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เพื่อเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณบาดแผลให้บาดแผลสมานปิดเร็วขึ้น
4.หมั่นทายา / รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ ต้องรักษาความสะอาดแผลให้ดี
อุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากความประมาทแทบทั้งสิ้น ถ้าต้องทำอาหารและอาจต้องสัมผัสของร้อน ควรระมัดระวังและป้องกันตนเองให้ดี ในบ้านที่มีเด็กเล็ก ควรระมัดระวังและจัดหาสถานที่ๆ วางวัสดุที่มีความร้อนให้เหมาะสม ห่างจากมือเด็กเอื้อมถึงได้ ส่วนบุคลากรที่ต้องทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องทำความร้อนต่างๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับเปลวไฟหรือเปลวเพลิงสูง ควรมีการป้องกันตนเองให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติภัยไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนี้ครับ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การแก้ไขปัญหาเปิดไฟล์เอกสาร Word, Excel, PowerPoint ไม่ได้

สำหรับคนที่ใช้งานโปรแกรม Microsoft Office ในปัจจุบัน อาจเจอปัญหาหนึ่งที่รบกวนหัวใจก็คือ

“เวลาที่เรารับหรือดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร Microsoft Office จากที่อื่นแล้วเปิดไม่ได้ หรือเปิดออกมาแล้วเป็นภาษาต่างดาวอ่านไม่ออก”
วันนี้ผมมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้มาแบ่งปันกันครับ

สาเหตุที่สำคัญเกิดจาก
ไฟล์เอกสาร Office ที่เรารับมานั้นสร้างหรือแก้ไขด้วย Microsoft Office 2007 ขึ้นไป แต่คอมพิวเตอร์ของเรานั้นใช้ Microsoft Office เวอร์ชั่น 2003 ลงมา (โดยลำดับเวอร์ชั่นของ Microsoft Office จากใหม่ล่าสุดไปเก่า 2010 > 2007 > 2003 > XP …)

ซึ่งโปรแกรม Microsoft Office เวอร์ชั่นเก่าๆ จะไม่รู้จักสกุลไฟล์ใหม่ๆ ของ Microsoft Office เวอร์ชั่นใหม่ๆ
เช่น ไฟล์เอกสาร Microsoft Word 2003 จะมีนามสกุลไฟล์เป็น .doc
แต่ ไฟล์เอกสาร Microsoft Word 2007 จะมีนามสกุลไฟล์เป็น .docx

เมื่อเปิดไฟล์ .docx ใน Microsoft Word 2003 มันจึงไม่สามารถเปิดได้หรือเปิดได้ก็อ่านไม่ออก เพราะโปรแกรมไม่รู้จักไฟล์นามสกุลนี้ครับ



โปรแกรมจะฟ้องแบบนี้ครับ

แนวทางการแก้ไขปัญหานี้
ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณยังใช้โปรแกรม Microsoft Office เวอร์ชั่น 2003 ลงมา ให้คุณดาวน์โหลดไฟล์ Microsoft Office Compatibility Pack for Word, Excel, and PowerPoint 2007 File Formats
ที่


http://www.microsoft.com/downloads/details.aspx?FamilyID=941b3470-3ae9-4aee-8f43-c6bb74cd1466&displaylang=en


หน้าดาวน์โหลดไฟล์ตัวแก้ปัญหานี้ครับ



โดยไฟล์ตัวนี้จะช่วยให้ โปรแกรม Microsoft Office เวอร์ชั่น 2003 ลงมาสามารถอ่านเอกสารที่สร้างโดย โปรแกรม Microsoft Office เวอร์ชั่น 2007 ขึ้นไปได้

โดยเมื่อคุณทำการดาวน์โหลดแล้ว คุณก็ทำการ install ไปปกติครับ ( Restart เครื่องรอบหนึ่งด้วยนะครับ)

หมายเหตุ
ในกรณีที่คุณยังไม่สามารถเปิดไฟล์เอกสารได้ ให้คุณลองเปลี่ยนนามสกลุไฟล์นั้นให้เป็นนามสกุลเดียวกับ Microsoft Office เวอร์ชั่น 2003 ลงมา

เช่น ถ้าไฟล์คุณเป็น Microsoft Word ให้คุณเปลี่ยนนามสกุลจาก .docx เป็น .doc โดยคลิ้กขวาที่ไฟล์นั้น > เลือก “Rename” (หรือ “เปลี่ยนชื่อ”) แล้วพิมพ์ .doc หลังชื่อไฟล์นั้นครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยคุณแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ใช้แล้วได้ผลอย่างไร หรือมีข้อสงสัยตรงไหน แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมที่ด้านล่างบทความนี้ได้เลยครับ


ที่มา
http://www.manacomputers.com/how-to-troubleshooting-problems-cannot-open-file-microsoft-office-word-excel-powerpoint/

วิธีแก้ปัญหาหนี้สินที่ทุกคนต้องอ่าน

หลักการเบื้องต้นคือ

"จะต้องหยุดหมุนเงิน หยุดหาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่าโดยเด็ดขาด"
และ
"จะต้องอยู่ให้ได้ด้วยเงินเดือนตัวเอง"

เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ใช้จ่ายให้พอตลอดทั้งเดือน ถ้ามีรายได้พิเศษก็ให้เก็บเป็นเงินสำรอง อย่าเอามารวมกับเงินเดือน เพราะมันได้ไม่แน่ไม่นอน ถ้าเงินพิเศษ/โอที หายไปคราวนี้จะอยู่ไม่ได้กันจริงๆ

ปัญหาการเงิน ที่เกืดขึ้น ณ ปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ลดลง แต่รายจ่ายเท่าเดิม ทำให้ต้องพยายามหมุนเงิน หาเงิน(กู้)จากที่อื่น เพื่อให้พอกับรายจ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะมันยิ่งทำให้ระบบการเงินแย่ลง และจะกลายเป็นคนที่มีหนี้สินมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ต้องทำมี 3 ข้อ คือ

1) จัดสรรรายได้
ทำตารางรายรับรายจ่ายของตนเองตลอดเดือนว่าเงินเดือนพอใช้หรือไม่ ตลอดเดือนต้องใช้อะไรบ้าง
เช่น มีค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าผ่อนชำระหนี้สินต่างๆ เมื่อทำเสร็จแล้วก็ดูว่าทั้งเดือนใช้เท่าไหร่ เหลือเก็บออมหรือไม่ ติดลบหรือไม่ ถ้าไม่ทำตารางรายรับรายจ่ายก่อน จะไม่รู้เลยว่าการเงินของเราเป็นอย่างไร และควรจะเลือกวิธีใดในการแก้ปัญหาหนี้สิน

2.สำรวจดูภาะหนี้สินของตนเอง
ว่ามีอะไรบ้าง ทำตารางแบ่งแยกประเภทหนี้-จำนวนหนี้ แยกประเภทหนี้เป็นกลุ่มธนาคาร นอนแบงก์ หนี้นอกระบบ จดรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ให้ครบ เรียงลำดับหนี้จากน้อยไปหามาก เอาไว้ดูเวลาจะชำระหนี้สิน

3. ศึกษาวิธีแก้ไขปัญหาหนี้ให้เข้าใจ แล้วก็เลือกใช้วิธีที่เหมาะกับตนเอง

วิธีแก้ไขปัญหาหนี้สินมี 3 วิธี

3.1 firstway out
การจ่ายขั้นต่ำเพื่อรักษาบัญชีและเครดิต

3.2 secondway out
การหยุดจ่ายทุกบัญชี เก็บเงินรอแฮร์คัต เจรจาชำระหนี้ครั้งเดียวเพื่อปิดบัญชีหนี้

3.3 thirdway out
การรวมหนี้หลายที่ไว้ที่เดียวกัน แล้วชำระที่เดียว

(3.3เป็นวิธีที่ไม่อยากให้ใช้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะมันเป็นวิธีที่ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ก่อนใหญ่ซึ่งมีหลักทรัพย์ค้ำประกันและใช้เวลาในการชำระหนี้นานขึ้น)

เวลาเลือกวิธีแก้ปัญหาหนี้อาจใช้หลายวิธีได้รวมกันก็ได้

วิธีที่ 1 FIRSTWAY OUT

การจ่ายขั้นต่ำ(อาจจะมากกว่าขั้นต่ำ)ตามปกติ
ถ้าคุณ มีหนี้2-3 บัญชี หนี้ไม่เยอะ
ก็อาจจะใช้วิธีจ่ายขั้นต่ำตามใบเรียกเก็บเงิน
หรือจ่ายให้มากกว่าขั้นต่ำสักเล็กน้อย
แล้วอย่าใช้บัตรนั้นไปรูดซื้อสินค้าหรือกดเงินสดออกมาใช้อีก
เอาบัตรออกจากกระเป๋าไปเลยไม่ต้องใช้มันอีก
วิธีนี้หนี้ก็หมดเช่นกัน รักษาเครดิตได้ แต่ใช้เวลานานหน่อย
แต่ขอย้ำจ่ายแล้วห้ามกดออกมาใช้อีกเป็นเด็ดขาด
เพราะถ้าทำแบบนั้นหนี้ไม่หมดแน่นอน มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

หากใครทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้วไม่ติดลบก็สามารถใช้วิธีนี้ได้

เช่น
เงินเดือน 8000
จ่ายค่าเช่าบ้าน 2500+ค่าอาหาร 2500+
ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 1000+ค่าบัตรเครดิต 1500
รวมรายจ่ายทั้งหมด 7500
(8000-7500 เหลือเก็บออม 500)

*เหมาะจะใช้วิธีที่ 1 จ่ายขั้นต่ำไปตามปกติ
เงินพิเศษ/โอทีถ้ามี ก็ฝากออมทรัพย์ไว้เผื่อฉุกเฉิน อย่าเอามาคิดรวมกับเงินเดือน


วิธีที่ 2 SECONDWAY OUT

การหยุดจ่ายทุกบัญชี เก็บเงินรอแฮร์คัต เจรจาชำระหนี้ครั้งเดียวเพื่อปิดบัญชีหนี้
เป็นการหยุดจ่ายชั่วคราว
ไม่ใช่ให้หยุดตลอดหรือหนีหนี้ไปเลย หากต้องการหนีหนี้ก็หนีไปเลยแล้วกัน 20 ปี
แต่ถ้าคุณเลือกใช้วิธีที่ถูกต้อง 3-5 ปี หนี้ก็หมดแล้ว
ลูกหนี้ต้องมีความรับผิดชอบในการชำระหนี้ที่ตัวเองก่อไว้ด้วย
--------------------------------------

การใช้วิธีนี้เป็นการหยุดจ่ายทุกบัญชี
(ยกเว้นรายการที่เป็นหนี้แบงก์ที่ใช้จ่ายเงินเดือนให้ กับ หนี้กองทุน ก.ย.ศ)
เพื่อตั้งหลักให้ตนเองจัดสรรรายรับรายจ่ายให้บัญชีเงินเดือนไม่ติดลบเก็บเงินได้
และพร้อมเมื่อใดก็ติดต่อไปยังเจ้าหนี้เพื่อเจรจาเรื่องยอดหนี้ที่ต้องชำระ
วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีหนี้เยอะมากๆ เรียกได้ว่าหมุนจ่ายจนหนี้ท่วมตัว
ยอดการจ่ายหนี้ในแต่ละเดือนเกินรายได้ที่มีหรือสูงเป็นเท่าตัวของรายได้ที่มีอยู่
เช่น
เงินเดือน 8000 จ่ายค่าเช่าบ้าน 2500 ค่าอาหาร 2500 ค่าจิปาถะ 1500
จ่ายบัตรเครดิต 1000 จ่ายสินเชื่อ 1500 ผ่อนรถ 8000
รวมค่าใช้จ่าย 17000 (8000-17000 ติดลบ 9000 บาท ต่อเดือน)
ควรใช้ SECONDWAY OUT

----------------------------------

ใครเลือกใช้วิธีที่ 2
ก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมรับกับทุกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

1.หยุดจ่ายหนี้ต้องหยุดทุกรายการและหยุดตลอด อย่าหยุดบางแบงก์จ่ายบางแบงก์
(ยกเว้นรายการที่เป็นหนี้แบงก์ที่ใช้จ่ายเงินเดือนให้ กับ หนี้กองทุน ก.ย.ศ)
และอย่าหยุดบ้างจ่ายบ้าง เพราะจะเก็บเงินก้อนไม่ได้ ไม่มีประโยชน์เลย และนับอายุความไม่ได้ด้วย

2.ต้องบอกครอบครัวให้รู้ จะได้ไม่ตกใจ รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร ผลจะเป็นอย่างไร และเป็นการระวังไม่ให้มีใครไปหลอกเอาเงินจากทางครอบครัวของลูกหนี้ได้ด้วย

3.ต้องบอกที่ทำงาน( หัวหน้างาน ฝ่ายบุคคล คนที่ทำงานเกี่ยวข้องประสานงาน เพื่อน คนที่อาจถูกรบกวนจากการตามทวงหนี้ที่ไม่มีมารยาท คนที่อ้างชื่อไว้ในสมัคร) ให้รับรู้ไว้ บอกให้รู้ว่าเราจะทำอะไร และจะเกิดอะไรบ้างระหว่างที่เราหยุดรอจ่ายปิดหนี้ที่ละบัญชี ห้ามอาย/ไม่อยากให้คนรู้เรื่อง เพราะยังไงๆ ที่ทำงานต้องรู้เรื่องแน่ ให้รู้จากเราไปเลยว่าเราจะทำอะไร อย่าให้เขารู้แต่ว่าเราถูกทวงหนี้ ให้เขารู้ว่าเราจะจ่ายทีเดียวปิดบัญชีหนี้ไปเลย ไม่จ่ายทีละนิดแล้วหนี้ไม่หมดสักที ให้ที่ทำงานรู้ว่าเราจะทำอะไรและผลจะเป็นอย่างไรเลยดีกว่า แล้วก็ต้องรู้จักขอโทษและขอบคุณเพื่อนรวมงานตามความเหมาะสม

4.จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายใหม่เพื่อดูว่าเมื่อเราหยุดจ่ายหนี้ทุกอย่างแล้วเราเหลือเงินเท่าไหร่ เก็บออมไว้ ห้ามใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น เงินเดือน 15000 บาท ใช้จ่ายตลอดเดือน 10000 เหลือ 5000 ก็แยกเก็บไว้สัก สองบัญชี บัญชีจ่ายหนี้ 3500 และบัญชีสำรองเผื่อฉุกเฉิน 1500 อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้นแต่ละคนจะเก็บได้มากได้น้อยแล้วภาระครอบครัว สำหรับบัญชีจ่ายหนี้พอเก็บได้เป็นเงินก้อนใหญ่ก็ลองเจรจาแฮร์คัทดู ส่วนบัญชีสำรองเก็บไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินในครอบครัว พยายามหารายได้พิเศษเพิ่ม

5. หาความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ต่างๆ ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ นำไปใช้ให้ได้ และ เมื่อรู้แล้วจะได้ไม่ต้องกลัวรูปแบบการทวงหนี้และการข่มขู่ต่างๆ ที่มีสารพัดรูปแบบ


วิธีที่ 3 THIRDWAY OUT

วิธีการนี้คือการรวมหนี้หลายแห่งให้เป็นหนี้ที่เดียว
เช่นมีหนี้บัตรเครดิต 10 รายการ จ่ายไม่ไหว
ก็เอาที่ไปจำนองแล้วเอาเอาเงินที่ได้มาไปจ่ายหนี้เก่าที่มีอยู่ทั้งหมด
แล้วตั้งหน้าตั้งตาจ่ายหนี้ที่จำนองที่ไว้ที่เดียว

เป็นวิธีที่ไม่อยากให้ใช้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
เพราะมันเป็นแค่การย้ายเจ้าหนี้
และเสี่ยงกับการเสียทรัพย์สินที่มีอยู่มากๆ
ควรจะยึดหลักที่ว่า
อย่าหาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า
ให้ใช้รายได้จริงๆของตนเองในการสะสางปัญหาหนี้สินจะดีกว่า หมดหนี้แน่นอน


วิธีการนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย(ซึ่งมากกว่าข้อดี)
ข้อดีคือคุณไม่เสียเครดิต ไม่ต้องเครียดกับการทวงหนี้
แต่ข้อเสียคือคุณมีหนี้เพิ่มขึ้น
หนี้10 ที่ซึ่งมีดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมค่าปรับที่ลูกหนี้ควรได้ส่วนลด
รวมเป็นหนี้ที่เดียวแล้วคิดดอกเบี้ยอีกที จ่ายนานมากกว่าจะหมดหนี้

การใช้วิธีนี้ให้ได้ผลดีที่สุดคือใช้ควบคู่กับ secondway out
คือหยุดจ่ายรอเจรจาขอลดยอดหนี้ก่อน
แล้วค่อยเอาเงินที่ได้มาจากการจำนองไปจ่ายหนี้
(จริงๆแล้ว หยุดเก็บตังค์ได้เองโดยที่ไม่ต้องไปจำนองหนี้ด้วยซ้ำ)


การไปกู้เงินที่ใหม่หากได้เงินมาไม่พอจ่ายหนี้เก่าให้หมดภายในครั้งเดียวแล้วหล่ะก็
ก็ไม่ควรทำ เพราะจะกลายเป็นว่าหนี้เก่าไม่หมดแล้วยังมีหนี้หใม่เพิ่มมาอีก 1 รายการ

การไปกู้เงินเป็นกลุ่มแล้วค้ำประกันให้กันก็ไม่ควรทำเพราะเท่ากับว่าเราต้องรับผิดชอบทั้งหนี้ในส่วนของเราและหนี้ของคนอื่นด้วย(เหมือนเอาเชือกมาผูกคอตัวเองไว้ จะถูกรัดคอตายวันไหนก็ไม่รู้)

สิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุดคือได้เงินก้อนมาแล้วเอาไปจ่ายขั้นต่ำบัญชีหนี้เดิมทุกบัญชีเพื่อรักษาเครดิตการทำแบบนี้จะหมุนเงินได้ไม่นานนัก แล้วก็จะกลายเป็นว่าหนี้เก่าไม่หมดแล้วยังมีหนี้ใหม่เพิ่มมาอีก 1 รายการ แถมเป็นหนี้ก้อนใหญ่ด้วย

ที่มา
http://www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=9336

จะทำอย่างไรเมื่อไม่มีภาษาไทยอยู่ในวินโดวส์เลย

จะทำอย่างไรเมื่อไม่มีภาษาไทยอยู่ในวินโดวส์เลย

ปัญหานี้คาดว่าจะเกิดจากการติดตั้งวินโดวส์แล้วไม่ได้ทำการติดตั้งภาษาไทยเข้าไปด้วยทำให้
ไม่สามารถใช้ภาษาไทย แต่เราสามารถติดตั้งเข้าไปใหม่ได้ แต่ท่านต้องเตรียมแผ่นดิสกืที่ท่าน
ใช้ในการติดตั้งวินโดวส์เอาไว้ด้วยนะครับ

1. ให้ท่านเปิดหน้าต่าง Control Panel ขึ้นมา
2. ดับเบิ้ลคลิกที่ Regional and Language Options
3. คลิกเลือกแท็บ Language
4. ให้ท่านคลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Install file for complex script and right-to-left languages(including Thai) แล้วคลิกที่ OK โปรแกรมจะให้ใส่แผ่นดิสก์เข้าไปแล้วทำการติดตั้งภาษาไทยให้จนเสร็จ ท่านก็สามารถเซตค่าต่างๆให้เป็นภาษาไทยได้ต่อไปครับ
5. ถ้าหากท่านต้องการใช้ภาษาอื่นๆด้วย เช่น ญี่ปุ่น หรือ จีน ท่านก็สามารถคลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ
Install file for Asian Language แล้วคลิก OK เพื่อทำการติดตั้งเพิ่มเติมได้ครับ


ที่มา
http://www.smiletips.com/Software/Window/window28.asp

ทำอย่างไรไม่ให้ CD-Rom เป็นแบบ Auto Run (Win 98)

ทำอย่างไรไม่ให้ CD-Rom เป็นแบบ Auto Run (Win 98)

โดยปกติแล้วเมื่อเราใส่แผ่นเข้าไปใน CD-Rom จะอ่านไฟล์เองและปรากฎที่หน้าจอให้เรารู้ว่า
ในแผ่นที่ใส่เข้าไปมีอะไรบ้าง โดยที่เราไม่ต้องสั่งงานอะไรเลย ฟังดูแล้วก็ดุเหมือนจะเป็นการดี
แต่ในช่วงที่เครื่องกำลังทำการอ่านไฟล็ในแผ่นอยู่นั้น จะทำให้งานต่างๆของเราหยุดชงักชั่วครู่เลย
ล่ะครับ ถ้าหากท่านไม่ต้องการให้ ซีดีรอมของท่านอ่านแบบอัตโนมัติ ก่อนใส่แผ่นเข้าไป ให้ท่าน
กดปุ่ม Shift ค้างเอาไว้ก่อน พอใส่แผ่นเข้าไป 3-34 วินาทีแล้วค่อยปล่อย เท่านี้ซีดีของท่านก็ไม่
อ่านเองแล้วล่ะครับ แต่ถ้าไม่อยากมาคอยกด Shift อยู่ทุกครั้งก็ให้ท่านตามวิธี่ต่อไปนี้ครับ

1. ให้ท่านเปิดหน้าต่างของ Device manager ขึ้นมาครับ หรือให้คลิกขวาที่ My Computer เลือก
Properties แล้วคลิกที่แท็บ Device Manager
2. คลิกเครื่องหมายบวกหน้า CD-ROM จากนั้นคลิกที่ซีดีรอมที่ต้องการ แล้วคลิกที่ปุ่ม Properties
3. คลิกที่แท็บ Setting แล้วคลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Auto insert notification
คลิกที่ OK โปรแกรมจะให้รีสตาร์ทเครื่อง แล้วลองใส่แผ่นเพื่อทดสอยอีกครั้งครับ


ที่มา
http://www.smiletips.com/Software/Window/window33.asp

แก้ปัญหาการแจ้ง Error ในวินโดวส์


แก้ปัญหาการแจ้ง Error ในวินโดวส์

ทุกครั้งที่ท่านทำอะไรที่ผิดพลาด เช่นการคัดลอกงานที่ผิดวิธีแล้วทำให้คัดลอกไม่ได้วินโดวส์ก็จะ
มีตัวป็อปอัพขึ้นมาแจ้งท่านว่าจะส่งความผิดพลาดนี้ไปให้ไมโครซอร์ฟหรือไม่ ท่านสามารถแก้ไข
เจ้าตัวป็อปอัพไม่ให้ขึ้นมาแจ้งได้ด้วยวิธีการนี้ครับ

1. ให้ท่านเปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run ขึ้นมาครับ
2. พิมพ์ MSCONFIG แล้วคลิก OK
3. คลิกที่แท็บ Services แล้วคลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Error Reporting Service แล้วคลิก OK

แล้ววินโดวส์จะถามท่านว่าจะทำการรีสตารทเครื่องหรือไม่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องรีสตาร์ทเครื่องแต่การเปลี่ยนแปลง

จะทำงานได้หลังจากทำการรีสตาร์ทเครื่องเท่านั้น

ที่มา
http://www.smiletips.com/Software/Window/window21.asp

การแก้ปัญหาเครื่องแฮงค์

การแก้ปัญหาเครื่องแฮงค์

เครื่องแฮงค์เพราะไดรเวอร์
ไดรเวอร์คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการหรืออธิบายง่ายๆ ก็คือคอยทำหน้าที่แนะนำให้ระบบปฏิบัติการรู้จักและทำงาน ร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้นั่นเอง ดังนั้นหากอุปกรณ์ตัวไหนที่ไม่ได้ลงไดรเวอร์ ก็อาจทำให้ระบบปฏิบัติการไม่รู้จัก จึงไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดูแล้วไดรเวอร์ ไม่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาใช่มั้ยครับ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตัวเก่าได้ มีผู้ใช้หลายคนยกเครื่องมาให้ ช่างคอมพิวเตอร์ตรวจเช็คเนื่องจากปัญหาเครื่องแฮงค์บ่อยพอสอบถามถึงปัญหาก็พบว่าผุ้ใช้ได้เคยอัพเดท ไดรเวอร์รุ่นใหม่ที่ดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเมื่อตรวจเช็คแล้วก็พบว่าไดรเวอร์ที่ผุ้ใช้ อัพเดทนั้นเป็นไดรเวอร์รุ่นทดสอบที่หลายเว็บไซต์มักชอบนำมาให้ดาวน์โหลดไปทดสอบกันดูก่อน เมื่อไดรเวอร์ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถทำงานเข้ากับฮาร์ดแวร์ บางตัวได้จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ นั่นเอง ซึ่งปัญหานี้พบได้บ่อยมาก

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของ ผู้ใช้ก่อน หากพบเครื่องที่มีอาการแฮงค์หลังจากที่ผู้ใช้อัพเดทไดรเวอร์ลงไปให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเกิดจากสาเหตุนี้ วิธีแก้ปัญหาก็คือให้จัดการถอดไดรเวอร์ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป แล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Properties
2. ที่หน้าต่าง System properties ให้คลิกแท็ป Device Driver
3. จากนั้นคลิกขวาที่ไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่มีปัญหา แล้วเลือกคำสั่ง Remove ไดรเวอร์นั้นออกไปแล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม

แต่บางครั้งไดรเวอร์ที่มากับอุปกรณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ซื้อมา ก็อาจทำให้มีปัญหาได้เหมือนกัน โดยจะ พบบ่อยมากในไดรเวอร์ของการ์ดแสดงผล 3 มิติ และซาวด์การ์ดยี่ห้อโนเนมทางแก้ปัญหาคือ ต้องไปดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์ยี่ห้อที่ใช้อยู่เท่านั้น ไม่ควรไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์อื่น เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้


เครื่องแฮงค์เพราะโปรแกรมแอพพลิเคชั่น
หลายครั้งที่อาการแฮงค์มักเกิดหลังจากโปรแกรมที่ติดตั้ง อยู่ในเครื่องเข้ากันไม่ได้ บางไฟล์ของโปรแกรมตัวหนึ่งอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงไฟลืบางตัวของระบบปฏิบัติการจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากไฟล์นามสกุล DLL ซึ่งเป็นไฟล์สาธารณะของระบบปฏิบัติการ ที่มักจะมีหลายโปรแกรมที่เราติดตั้ง เข้ามาขอใช้ไฟล์นามสกุล DLL ด้วย แต่บางโปรแกรมก็มีไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าไฟล์ DLL ตัวเดิมของระบบปฏิบัติการ เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมนี้ลงไปมันก็จะเขียนไฟล์ DLL ตัวใหม่ทับตัวเก่าทันที จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ตามมา เพราะไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้

สำหรับแนวทางแก้ไขของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมของการใช้งานของผู้ใช้ก่อน เมื่อพบเครื่องที่มีลักษณะเครื่องแฮงค์หลังจากที่ผุ้ใช้ลงโปรแกรมตัวใหม่ลงไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจ มาจากสาเหตุนี้ วิธีการแก้ไขก็คือ หากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนวินโดวส์ 98 / Me ให้บูตเครื่องด้วยแผ่นบูตแล้วพิมพ์คำสั่ง Scanreg / restore เพื่อเป็นการย้อนกลับไปใช้รีจีสทรีที่วินโดวส์ได้แบ็คอัพเก็บไว้ 5 วันหลังสุด ก็ให้เราเลือกวันที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหาเพียงเท่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ครับ

สำหรับวินโดวส์ Me และวินโดวส์ XP ก็สามารถใช้โปรแกรม System Restore เพื่อย้อนกลับไปยังวันที่ไม่เกิดปัญหาได้ โดยสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ดังนี้

1. คลิกปุ่ม Start > Program > Accessories > System Tools > System Restore
2. เมื่อปรากฏโปรแกรม System Restore ขึ้นมาให้คลิกที่ช่อง Restore my computer to earlier time แล้วคลิกปุ่ม Next
3. เลือกวันที่และจุด Checkpoint ที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหา โดยวันที่ที่สามารถย้อนกลับไปได้จะเป็นช่องหนาๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next
4. จะมีหน้าต่างแสดงรายละเอียดของวันที่และจุด Checkpoint ที่ต้องการย้อนระบบกลับไป ให้เราคลิกปุ่ม Next แล้วโปรแกรมก็จะเริ่มทำการย้อนระบบกลับไปยังวันที่และจุด Checkpoint ที่เรากำหนด

ที่มา
http://www.bcoms.net/problem_coms/windows_hang.asp

ปัญหา sex แต่ละวัย

ปัญหา sex แต่ละวัย

นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

วัยเด็กตอนต้นหรือวัยก่อนเข้าโรงเรียน
ประเด็นของปมอิดีปุสที่เราควรให้ความสนใจในช่วงวัยก่อน6 ขวบ เด็กชายจะหลงรักแม่และเด็กผู้หญิงจะหลงรักพ่อ จะพยายามแข่งขันกันเอาชนะพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตนเอง แต่เมื่อเริ่มเรียนรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ ก็เริ่มหันมาเลียนแบบพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตนเอง และเลิกการแข่งขันในที่สุด

ถ้าหลัง 6 ขวบเด็กยังไม่สามารถปรับสภาพจิตใจยอมรับพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตนเองได้ สิ่งที่ตามมาคือการเกลียดชัง และอาจเป็นอยู่เรื่อยมาจนวัยผู้ใหญ่ มักพบในครอบครัวที่พ่อหรือแม่มีปัญหาความขัดแย้งกัน และลูกก็เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เป็นเพศตรงข้ามกับตน สิ่งนี้ส่งผลต่อพัฒนาการเรื่อง sex ได้ด้วย เช่น ลูกชายที่เกลียดพ่อ และสงสารแม่มากๆ ก็อาจจะสนิทสนมและเลียนแบบพฤติกรรมความเป็นหญิงจากแม่มากจนดูเหมือนเป็นเกย์ หรือบางคนก็อาจลงเอยด้วยการมี sex ในหมู่เครือญาติ (incest) เช่น ลูกชายกับแม่ หรือลูกสาวกับพ่อเนื่องจากไม่สามารถแยกบทบาทที่แท้จริงของแต่ละคนได้ เป็นต้น


วัยเด็กตอนปลายหรือวัยเรียน
เป็นวัยที่เข้าใจเหตุผลพอสมควร มีการเลียนแบบสิ่งรอบตัว รวมถึงเพื่อนที่เป็นจุดสำคัญที่เด็กนิยมเลียนแบบหรือแบ่งพรรคแบ่งพวกกันตามเพศของตนเอง ถ้าในกลุ่มนี้มีเพื่อนที่วางตัวไม่เหมาะสมต่อบทบาทของเพศตนเอง ปัญหาที่พ่อแม่ควรกังวลและใส่ใจไม่เฉพาะเรื่องการเป็นลักเพศ (Gender identity disorder) เท่านั้น แต่รวมถึงการให้เกียรติกันในเรื่องเพศตรงกันข้ามหรือเพศเดียวกันด้วย ถ้าวัยนี้เกิดปัญหาเกิดขึ้นก็ย่อมส่งผลต่อพัฒนาการในระยะต่อๆ ไปด้วยเช่นกัน


วัยรุ่น
ที่ปัจจุบันถูกกล่าวหาว่าเป็นวัยวุ่น โดยเฉพาะเรื่อง sex ถูกตำหนิมากขึ้น แม้ความจริงการกล่าวหาวัยรุ่นในความเห็นของผมอาจจะดูมากเกินไป เพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจวัยรุ่น (ทั้งๆ ที่ตนเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเป็นวัยรุ่นทุกคน) แต่วัยรุ่นหลายคนก็ทำตัวเหลือขอจริงๆ ซึ่งอาจจะจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่พลุ่งพล่าน หรือพื้นฐานในวัยก่อนหน้านี้ไม่ค่อยดีมาก่อน

แต่ปัจจัยสำคัญที่แก้ไขยาก คือการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้ทัศนคติเรื่องเพศเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง การเลียนแบบพฤติกรรมของชาติตะวันตกมากเกินไป หรือการที่วัยรุ่นเหล่านั้นมีพื้นฐานของการควบคุมตนเองที่ต่ำมากๆ จากการที่พ่อแม่ไม่ได้ฝึกให้รู้จักการควบคุมตนเองอย่างจริงจัง จึงส่งผลให้การยับยั้งชั่งใจเรื่อง sex ก็ดูจะต่ำลงไปควบคู่กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง สิ่งที่ตามมาคือพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ(Sexual promiscuity)หรือติดเซ็กส์ (Sexual addiction)


วัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงาน
ก็เป็นวัยแห่งการเลือกคัดสรรสิ่งต่างๆ สู่ชีวิต เมื่อมีการทำงาน มีความคิดในการสร้างครอบครัวแล้ว แม้อารมณ์ความพลุ่งพล่านในวัยรุ่นจะผ่านไปหรือเพลาๆ แล้ว แต่ถ้ามีพื้นฐานไม่ดีหรือเลือกคู่ครองไม่เหมาะสม เช่น เลือกความเข้ากันได้ทางนิสัยใจคอ แทนที่จะเลือกคนที่เข้ากันได้เฉพาะเรื่อง sex อย่างเดียว บางครั้งก็อาจจะทำให้ความลุ่มหลงบดบังหตุผลดีๆ ที่การเป็นวัยผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาพอสมควรพึงจะคิดได้ แต่เมื่อไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ หลายคนก็อยู่ในวังวนของความสับสนทาง(เรื่อง) เพศกับความสับสนเรื่องความรักเพื่อการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

สุดท้ายเมื่อตัดสินใจไม่ได้ หรือบางคนกลัวการใช้ชีวิตคู่ ก็มักลงเอยด้วยการอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตบ้าง การเป็นเมียน้อย หรือเป็นชู้หรือนอกใจคู่สมรส เป็นต้น สิ่งเหล่านี้โดยทั่วไปมักสะท้อนถึงปัญหาบุคลิกภาพที่ผิดปกติ (Personality disorder)ซึ่งถือว่าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งด้วย


วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน
เน้นถึงประเด็นความลดหย่อนของสมรรถภาพทางเพศที่ไม่สมดุลกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง ความจริงแล้วการที่สมรรถภาพทางเพศลดลงมิได้ทำให้เกิดปัญหาในด้านความสัมพันธ์ของชีวิตคู่เสมอไป ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคงมาก่อน

บางคนมีความเข้าใจผิดว่าการคงไว้ซึ่งสมรรถภาพทางเพศ เช่นวัยหนุ่มสาวจะทำให้อายุยืนยาว ซึ่งไม่จริง เพราะเราไม่สามารถห้ามหรือฝืนธรรมชาติได้ ถ้าปล่อยให้เกิดปัญหามากขึ้น ก็คงต้องใช้คำว่า วิกฤติการณ์ของวัยกลางคน (Mid-life crisis) พบได้ถึง 70-80% ในผู้ชาย

ส่วนอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงจะมีความต้องการและสมรรถภาพลดลงกว่าผู้ชาย อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งในคู่สมรสและเกิดการหย่าร้างได้หากไม่มีความเข้าใจกัน


วัยชรา
วัยแห่งความเสื่อมที่ต้องยอมรับ แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่ยอมรับ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ (และประสบกาม) ในอดีตของแต่ละคน การรู้จักพอ และคิดถึงความเหมาะสมของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ จริงอยู่แม้กิจกรรมทางเพศเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เกิดความสุขกายสุขใจก็ตาม และหลายคนก็พยายามหาข้อมูลเพื่อมาสนับสนุนให้มี sex ในวัยชรา ความจริงแล้วปัญหาที่อาจจะตามมามีได้หลายอย่าง เช่น ใจสู้แต่ร่างกายไม่สู้เพราะวัยเสื่อมหรือมีโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการมี sex เช่น หย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Impotence) ความเสี่ยงต่อการหัวใจวายจากการมี sex


จะเห็นว่าเมื่อวัยของคุณเปลี่ยนแปลงไป บทบาททางด้านความคิดและพฤติกรรมทาง sex ของคุณก็เปลี่ยนแปลงตาม ใครก็ตามที่พฤติกรรมทาง sex ไม่เหมาะสมกับวัยของตนเอง ย่อมแสดงว่าพัฒนาการทางเพศของคุณมีปัญหา และนั่นหมายความรวมถึงพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพของคุณก็อาจมีปัญหาด้วยเช่นกัน เรื่องวัยเปลี่ยน sex เปลี่ยนเป็นเรื่องน่าเรียนรู้ เพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกันของคนต่างวัยใกล้ๆ ตัวไงครับ

ข้อมูลจาก
http://sex.sanook.com/sex/safetysex/safety_23371.php